มะม่วง อ้วน ไหม สารอาหารในมะม่วง 1 ผล

มะม่วง อ้วน ไหม  สารอาหารในมะม่วง 1 ผล 
 

หลายคนไม่ชอบทาน เพราะเชื่อว่ามะม่วงมีแป้งเยอะ ทานแล้วจะทำให้อ้วน หารู้ไม่ว่ามะม่วงนี่ล่ะคือผลไม้มากคุณประโยชน์ที่รู้แล้วต้องก­­ร­ี๊ด วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปพบกับข้อมูลคุณประโยชน์อันน่าตื่นตาตื่นใจของผลไม้รูปร่างคล้ายถั่วชนิดนี้ ว่าจะดีจริงหรือไม่ รับประทานแล้วจะอ้วนหรือเปล่า ต้องอ่านไม่งั้นเดี๋ยวคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องนะ

          มะม่วง เป็นผลไม้ที่มีไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล และโซเดียมต่ำ และยังเป็นแหล่งอาหารที่อุดมด้วยไฟเบอร์ วิตามินบี 6 วิตามินเอ และวิตามินซี รวมทั้งโพแทสเซียม แมกนีเซียม และสังกะสี นอกจากนี้ก็ยังมีเควอซิทิน (Quercetin) เบต้าแคโรทีน (Beta Carotine) กรดโฟลิก และ แอสตรากาลิน (astragalin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีทรงพลัง ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจ ริ้วรอยก่อนวัย โรคมะเร็ง หรือภาวะเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระ

ประโยชน์ของมะม่วง ผลไม้มากคุณค่า ไม่คว้าไว้จะเสียใจ

          โดยในเว็บไซต์ USDA ได้ระบุว่า มะม่วงดิบปริมาณ 100 กรัมมีคุณค่าทางอาหารดังนี้

น้ำ 83.46 กรัม
พลังงาน 60 กิโลแคลอร
โปรตีน 0.82 กรัม
ไฟเบอร์ 1.6 กรัม
น้ำตาล 13.66 กรัม
แคลเซียม 11 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.16 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 10 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 14 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 168 มิลลิกรัม
โซเดียม 1 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.9 มิลลิกรัม
วิตามินซี 36.4 มิลลิกรัม
วิตามินบี 6 0.119 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 1,082 ยูนิต


คัดลอกมาจาก
http://health.kapook.com/view118325.html

ประโยชน์มะม่วง ที่มาก กว่าลดความอ้วน


ประโยชน์มะม่วง ที่มาก กว่าลดความอ้วน


1. ลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี
การรับประทานมะม่วงประจำสามารถรักษาระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย จากการตรวจสอบพบว่า วิตามินซีสูง เพคตินและเส้นใยมากมายที่อยู่ในมะม่วงจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ได้เป็นอย่างดีอย่างยิ่ง ‘ไม่ดี’ ในขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มจำนวนคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) อีกด้วย และมะม่วงเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียมซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการเพิ่มอัตราการไหลเวียนของเลือดในระบบประสาทที่ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

2. ฟื้นฟูผิว
มะม่วงเป็นผลไม้มหัศจรรย์สามารถใช้ฟื้นฟูผิวได้ โดยใช้ในการมาสก์และขัดหน้า ในมะม่วงอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามิน C วึ่งช่วยให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีและเปล่งประกาย วิตามินและเบต้าแคโรทีนในมะม่วงสามารถเพิ่มความอ่อนเยาว์ ฟื้นฟูผิว ลดจุดด่างดำ ฝ้าและสิว โดยนำมะม่วงสุกมาปอกเปลือก แล้วถูทั่วใบหน้าของคุณเป็นเวลา 10 ถึง 15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

3. ป้องกันการเกิดโรคลมแดด (Heat stroke)
ลดความเสี่ยงผลกระทบของจังหวะการเต้นของหัวใจจากความร้อน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะรักษาระดับของเหลวในร่างกายของคุณ โพแทสเซียมในมะม่วงช่วยรักษาระดับโซเดียมซึ่งจะควบคุมระดับของเหลวในร่างกายและควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจท ในฤดูร้อนคุณสามารถกินมะม่วงสุกหรือมะม่วงดิบทุกวันเพื่อช่วยให้เย็นลงและเพิ่มน้ำแก่ร่างกาย

4. บำรุงสายตา
มะม่วงเป็นแหล่งของวิตามิน A จำนวนมาก ซึ่งสารอาหารสำคัญสำหรับสุขภาพตา วิตามิน A จะช่วยบำรุงสายตาและป้องกันความผิดปกติต่างๆเกี่ยวกับตา เช่นตาบอดตอนกลางคืน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม ตาแห้งและความรู้สึกไม่สบายตา ในมะม่วงสุก 1 ถ้วย มีวิตามิน A อยู่ถึงร้อยละ 25 ของความต้องการต่อวัน

5. รักษาระดับอัลคาไลน์
กรดซิตริกที่พบในมะม่วงช่วยรักษาระดับอัลคาไลน์ในร่างกาย จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสุขภาพหลายอย่าง เช่น ภาวะเลือดเป็นกรดเรื้อรัง โรคไต กล้ามเนื้ออ่อนแอและกระดูกอ่อนแอ การรับประทานมะม่วงเป็นประจำจะช่วยรักษาค่า pH ให้ปกติ โดยอยู่ระหว่าง 7.35 และ 7.45 ซึ่งจะช่วยให้การถ่ายโอนออกซิเจนไปทั่วร่างกายมากขึ้น ป้องกันไม่ให้โรคทางเดินอาหารต่างๆ และโรคกระดูกพรุน

6. ช่วยย่อยอาหาร
เส้นใยที่มีอยู่มากในมะม่วงจะช่วยในการย่อยอาหารและการกำจัดของเสีย ทั้งยังสามารถช่วยป้องกันความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารเช่น โรคโครห์น (Crohn’s disease) นอกจากนี้มะม่วงยังช่วยบรรเทาอาการท้องผูกและแผลในกระเพาะอาหาร

7. ป้องกันโรคมะเร็ง
งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า สารต้านมะเร็งและสารต้านอนุมูลอิสระในมะม่วงสามารถป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งผิวหนัง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในมะม่วงที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งคือ quercetin isoquercitrin astragalin fisetin gallic acid และ methyl gallat สถาบันโรคมะเร็งในบอสตันแนะนำให้ดื่มมะม่วงปั่นสมูทตี้ 1-2 แก้วทุกวันสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง

8. ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
วิตามิน C ในมะม่วงมีหน้าที่สำคัญในการรักษาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ป้องกันการเข้าสู่ร่างกายของเชื้อโรค และช่วยเพิ่มการผลิตเม็ดเลือดขาว นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสุขภาพผิวให้ผิวมีสุขภาพดี

9. เพิ่มความจำ
ในการศึกษาของ journal Oxidative Medicine พบว่าสารหลายชนิดที่พบในมะม่วงช่วยเพิ่มการจดจำและลดความเครียด กรดกลูตาในมะม่วงจะช่วยเพิ่มหน่วยความจำ ส่วนวิตามิน B6 ยังมีหน้าที่สำคัญในการดูแลและปรับปรุงการทำงานของสมอง

10. เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ
มะม่วงถือว่าเป็นยาบำรุงชั้นดี ในต่างประเทสมักเรียกกันว่า love fruit หรือ ผลไม้แห่งความรัก ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน E ที่ช่วยควบคุมฮอร์โมน

การนำมะม่วงไปใช้ประโยชน์

การนำมะม่วงไปใช้ประโยชน์                                   ประโยชน์ มะม่วง
ได้แก่ ผลดิบและผลสุกสามารถแปรรูปเป็น มะม่วงกวน มะม่วงดอง มะม่วงแช่อิ่ม มะม่วงเค็ม น้ำมะม่วง แยม ฯลฯ
ส่วนประโยชน์ทางยาไทย คือ เปลือกต้น และเนื้อในเมล็ด มีฤทธิ์ฝาดสมาน ใช้รักษาอาการท้องเสีย แก้บิดและอาเจียนได้ ผลสดแก่ รับประทานแก้คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียน กระหายน้ำ ผลสุกหลังรับประทานแล้วล้างเมล็ดตากแห้ง ต้มเอาน้ำดื่มหรือบดเป็นผง รับประทานแก้ท้องอืดแน่น ขับพยาธิ แก้ลำไส้อักเสบเรื้อรัง แก้ปวดประจำเดือน นอกจากนี้ยังนิยมมาปรุงเป็นอาหารไทยนานาชนิด เช่น ยอดอ่อนและใบอ่อนรับประทานเป็นผักสดแกล้มกับน้ำพริกหรือนำไปยำได้ ชาวเหนือนำใบอ่อนของมะม่วงไปยำเรียกว่า "ส้ายอดม่วง" ผลดิบของมะม่วง (รสเปรี้ยว) นำมารับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก เช่น น้ำพริกกะปิ น้ำพริกปลาร้า น้ำพริกมะม่วง เป็นต้น หรืออาจปรุงเป็นยำมะม่วงโดยซอยมะม่วงดิบเป็นฝอยเล็กๆ ปรุงร่วมกับน้ำตาล น้ำปลา มะนาว พริก กุ้งแห้ง ถั่วลิสง

คลอเรสเตอรอลมีเฉพาะในสัตว์เท่านั้น ในผักผลไม้ไม่มีคลอเรสเตอรอล

คลอเรสเตอรอลมีเฉพาะในสัตว์เท่านั้น ประโยชน์ มะม่วง ไม่มีคลอเรสเตอรอลครับ


ส่วนถ้าพูดถึงน้ำตาลถ้ามะม่วงลูกเดียวกันมีประมาณน้ำตาลเท่าๆ กันครับตอนสุกกะดิบ เพราะตอนดิบน้ำตาลอยู่ในรูปแป้ง แต่ตอนสุกมันเปลี่ยนเป็นน้ำตาล (ซึ่งแป้งกะน้ำตาล ก็อยู่ในกลุ่มอาหารที่เราเรียกว่า คาร์โบไฮเดรต ครับ

มะม่วงสุกก็มีเบต้าแคโรทีนมากกว่า ผักผลไม้สีเหลือง สีส้มทุกชนิดจะมีเบต้าแคโรทีนครับ

พูดถึงระดับน้ำตาลมะม่วงสุกจะทำให้ระดับน้ำตาลขึ้นเร็วกว่า เพราะน้ำตาลในผลไม้สูงเป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ทำให้ย่อยและดูดซึมได้ง่ายกว่า มะม่วงดิบซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเชิงซ้อน ต้องย่อยหลายครั้งทำให้ดูดซึมได้ช้ากว่า แต่อย่างไรก็ตามในมะม่วงลูกเดียวกัน ตอนสุกกะตอนดิบบอกไปแล้วว่ามีปริมาณน้ำตาลใกล้เคียงกัน

ฉะนั้นในผู้ที่ต้องการจะความคุมน้ำตาลในเลือด (ผู้ป่วยเบาหวาน) ทางโภชนาการจะมีการกำหนดว่าผลไม้แต่ละชนิดมื้อหนึ่งๆ จะรับประทานได้แค่ไหน ส่วนใหญ่จะทานได้หนึ่งส่วน ต่อหนึ่งมื้อ

หนึ่งส่วนของผลไม้ เช่น ครึ่งลูกมะม่วงขนาดมะม่วงอกร่อง ส้มผลขนาดกลาง ฝรั่งหนึ่งในสามลูก แอ๊ปเปิลผลขนาดกลาง องุ่นหกเม็ด ลิ้นจี่สี่ลูก ลำไยหกลูก เป็นต้น ครับ

อาหารแต่ละชนิดไม่มีอะไรดีกว่าอะไรครับ แต่ละอย่างมีคุณค่าต่างๆ กัน

มะม่วงดิบ มีคาร์โบไฮเดรท มากกว่ามะม่วงสุก
มะม่วงสุก มีน้ำตาลผลไม้ และ สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ มากกว่ามะม่วงดิบ
มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มีสารเบตาแคโรทีนมากที่สุด 873 ไมโครกรัม
ปริมาณของวิตามินอีสูง
มะม่วงเขียวเสวยดิบ มี 1.52 มิลลิกรัม
มะม่วงเขียวเสวยสุก มี 1.23 มิลลิกรัม
มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มี 1.1 มิลลิกรัม
มะม่วงยายกล่ำสุก มี 0.97 มิลลิกรัม

สำหรับผู้ป่วยหรือกลุ่มคนที่ต้องควบคุมปริมาณน้ำตาล โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเบาหวานอาจต้องเลือกผลไม้ที่รสไม่หวาน ในอเมริกาได้แนะนำให้ผู้ชายบริโภคแคโรทีนอยด์วันละ 6 มิลลิกรัม ในคนไทยแนะนำให้บริโภค วิตามินอีวันละ 6-15 มิลลิกรัม และวิตามินซีวันละ 40-90 มิลลิกรัม

ประโยชน์ของมะม่วง สุดยอดลดความอ้วน

1. ช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต




          มะม่วงเป็นผลไม้ที่สามารถลดระดับความดันโลหิตได้ เพราะในมะม่วงมีสารอาหารที่สำคัญต่อระบบการไหลเวียนของเลือดอย่­­­างโพแทสเซียมและแมกนีเซียม ทำให้ระดับความดันโลหิตถูกควบคุมให้อยู่ในระดับที่ปกติ นอกจากนี้มะม่วงยังมีวิตามินอีที่ช่วยเสริมสร้างฮอร์โมนเพศอีกด­­­้วย

 2. ป้องกันโรคมะเร็ง

          สารประกอบฟีนอล ที่พบในมะม่วงอย่างเช่น เควอซิทิน (Quercetin) ไอโซเควอซิทริน (isoquercitrin) แอสตรากาลิน (astragalin) ไฟเซติน (fisetin) เมทิลแกทเลท (methylgallat) มีฤทธิ์เป็นสารต้านนุมูลอิสระที่ทำหน้าที่ในการตอต้านการเก­ิดโรคมะเร็ง นอกจากนี้ในมะม่วงก็ยังมีเพคติน (pectin) สูง และมีผลการวิจัยพบว่าสารเพคตินนี่ล่ะที่มีผลต่อการป้องกันการเก­­­ิดมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้

 3. ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น

          ใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารขอแนะนำให้รับประทานมะม่วง­­­เลยล่ะ เพราะในมะม่วงนั้นมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยสลายโปรตีนให้ง่ายต่อการ­­­ดูดซึมของร่างกาย ขณะที่ไฟเบอร์ในมะม่วงก็สามารถช่วยในการย่อยอาหารได้อีกด้วยล่ะ­­­

 4. ป้องกันโรคหัวใจ

ประโยชน์ของมะม่วง ผลไม้มากคุณค่า ไม่คว้าไว้จะเสียใจ

          วิตามินเอและวิตามินอีในมะม่วงรวมทั้งซีลีเนียม (Selenium) สามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ ไม่เพียงเท่านั้นในมะม่วงยังมีวิตามินบี 6 ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจด้วยการลดระดับโฮโมซิสเตอีน (Homocysteine) เพราะเจ้าโฮโมซิสเตอีนนี่เป็นกรดอะมิโนที่สามารถสร้างความเสียห­­­ายให้กับผนังหลอดเลือดได้ อันเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจนั่นเองค่ะ

 5. ลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ในร่างกาย

          เพคตินและวิตามินซีในมะม่วงเป็นพระเอกที่ขาดไม่ได้เลย เพราะสารอาหารทั้ง 2 ชนิดนี้สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดีในร่างกายได้ แต่ทั้งนี้ผู้ที่ป่วยด้วยโรคไข่มันในเลือดสูงก็ควรจะปรึกษาแพทย­์ก่อนจะรับประทานจะดีกว่าค่ะ

 6. บำรุงสมอง

          วิตามินบี 6 ในมะม่วงนอกจากจะช่วยป้องกันโรคหัวใจแล้ว ก็ยังช่วยป้องกันและสร้างเสริมการทำงานของสมอง เพราะเจ้าวิตามินบี 6 นี้มีส่วนสำคัญในการทำงานของสารสื่อประสาทที่มีส่วนช่วยในการกำ­หนดอารมณ์และรูปแบบในการนอนหลับ การเติมมะม่วงลงไปในอาหารจะช่วยให้ร่างกายได้รับกลูตาไมน์ (Glutamine) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้สมองสามารถจดจำและมีสมาดีขึ้น และยังทำให้เซลล์สมองตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย

 7. รักษาโรคเบาหวาน

          โรคเบาหวาน วิธีการดูแลตัวเองที่ดีที่สุดคืออการไม่รับประทานของหวาน ซึ่งมะม่วงก็เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงแต่ขอบอกไว้เลยว่ามะม่วงนี­­­่ล่ะช่วยรักษาโรคเบาหวานได้ เพียงแค่นำใบมะม่วง 10-15 ใบแช่ลงในน้ำอุ่นและปิดฝาให้สนิททิ้งไว้ข้ามคืน จากนั้นในตอนเช้­านำน้ำนี้มาดื่มในขณะที่ท้องว่าง จะสามารถช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ วิธีนี้สามารถรับประทานได้ทั้งคนที่เป็นเบาหวานหรือไม่เป็นก็ได้­ หากผู้ที่มีสุขภาพปกติดื่มน้ำแช่ใบมะม่วงก็จะยิ่งช่วยป้องกันโร­­­คเบาหวานได้ดียิ่งขึ้นค่ะ

 8. บำรุงสายตา

          มะม่วงมีวิตามินเอสูง ดังนั้นจึงช่วยบำรุงสายตาให้ยังใสปิ๊งปั๊งอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยป้องการการเสื่อมของจอประสาทตาเมื่ออายุ­­­มากขึ้นได้อีกด้วยค่ะ

 9. บำรุงผิวพรรณ

          ต้องยกความดีความชอบให้กับวิตามินเออีกครั้งเพราะวิตามินเอในมะ­­­ม่วงนั้นมีคุณประโยชน์เพียบพร้อมจริง ๆ แม้แต่ในเรื่องผิวพรรณ การรับประทานมะม่วงทำให้เราได้รับวิตามินเอที่ช่วยกระตุ้นการให­­­ลเวียนของเลือดในเนื้อเยื่อและผิวหนัง ช่วยให้การอุดตันของรูขุมขนลดลงส่งผลให้ผิวพรรณเรียบเนียนได้ค่­­­ะ

 10. รักษาสิว

ประโยชน์ของมะม่วง ผลไม้มากคุณค่า ไม่คว้าไว้จะเสียใจ

          หากใครไม่ชอบทานมะม่วงแต่ก็อยากรักษาสิวให้หายโดยไม่พึ่งยาละก็­­­ลองหันมาใช้มะม่วงในการรักษาได้ค่ะ เพราะเนื้อมะม่วงนี้แม้เราจะไม่ได้รับประทานแต่ก็สามารถใช้บำรุ­­­งผิวพรรณ ลดสิวบนใบหน้าที่กวนใจได้ เพียงฝานมะม่วงบาง ๆ วางใบหน้าทิ้งไว้ 30 นาที จากนั้นล้างออก วิตามินเอในมะม่วงก็ช่วยลดการเกิดสิวได้เป็นปลิดทิ้งเลย

 11. รักษาโรคโลหิตจางในหญิงที่ตั้งครรภ์

          มะม่วงเปรี้ยว ๆ ถือเป็นของที่ถูกใจว่าที่คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์เป็นอย่างมาก เพราะช่วยรักษาอาการแพ้ท้องได้เป็นอย่างดี แต่อย่าเพิ่งคิดว่ามะม่วงมีดีเพียงแค่นั้น เพราะมะม่วงก็มีธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อหญิงที่กำลังตั้งครรภ์เช่นเดียวกัน­­­ เพราะหญิงตั้งครรภ์นั้นมักจะเกิดภาวะโลหิตจางได้ง่าย และการรับประทานมะม่วงก็จะช่วยให้ธาตุเหล็กอันเป็นสาเห­ตุของโรคโลหิตจางมีระดับสูงขึ้นอยู่ในเกณฑ์ปกติค่ะ

 12. สร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย

          มะม่วงมีสารเบต้าแคโรทีมเช่นเดียวกับผักผลไม้มีสีส้มและสีเหลือ­งอื่น ๆ เช่น แครอท เป็นต้น โดยสารเบต้าแคโรทีนนั้นเป็นสารแคโรทีนอยด์อันมีคุณสมบัติในการส­­­ร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ฉะนั้นถ้าไม่อยากป่วยง่ายก็ควรจะรับประทานมะม่วงเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับสารพิษและแบคทีเรียต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

มะม่วงหิมพานต์ลดความอ้วน มะม่วงอ้วนไหม?

มะม่วงหิมพานต์ลดความอ้วน มะม่วง ทานอ้วนไหม
 หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาอังกฤษว่า Cashew nut และยังมีชื่อเรียกอีกหลากหลายในภาษาไทย ตามแต่ลักษณะภูมิภาคที่แตกต่างกันออกไป อาทิเช่น มะม่วงสิโห กายี กะแตแก ยาโงย มะหม่วงกุหล่า เป็นต้น

โดยส่วนมากแล้ว เราจะพบมะม่วงหิมพานต์ในแถบภาคใต้ ลักษณะของมะม่วงหิมพานต์ จะมีลักษณะคล้ายลูกชมพู่ รสชาติของตัวผลจะให้รสเปรี้ยว ฉ่ำน้ำ สามารถที่จะนำเอารับประทานได้ทั้งผลดิบสุก

 โดยผลสุกจะมีแดงหรือเหลือง ส่วนของผลจะมีเมล็ดยื่นออกมา เป็นส่วนที่เรานิยมนำเอามารับประทาน และนำมาประยุกต์ในการทำอาหารได้หลากหลายเมนู

 เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นอาหารประเภทถั่ว ที่เรานิยมรับประทานกันอย่างหลากหลาย เป็นหนึ่งในถั่วที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง

เมื่อเทียบกับถั่วประเภทอื่นๆ แล้ว ในเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ประมาณ 1 กำมือ (28กรัม) หรือประมาณ 16-20 เมล็ด จะมีพลังงานทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 160 แคลอรี่ มีโปรตีน 4 กรัม ปริมาณไขมันทั้งหมด 13 กรัม แบ่งออกเป็นไขมันชนิดอิ่มตัว 3 กรัม และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อน 10 กรัม

แสดงให้เห็นว่า ในเม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้น มีส่วนประกอบหลักเป็นไขมัน ประเภทไขมันดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย



นอกจากนั้นแล้ว ยังประกอบไปด้วยสารอาหาร ทั้งคาร์โบไฮเดรต แคลเซียม วิตามิน โปรตีน แมงกานีส โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี โซเดียม และอื่นๆ ในเม็ดมะมวงหิมพานต์ ยังมีปริมาณเส้นใยสูง เมื่อเทียบกับถั่วประเภทอื่นๆ อีกด้วย



ประโยชน์ของเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ได้รับการยอมรับในเรื่องของการช่วยป้องกันโรค ช่วยลดปริมาณคลอเลสเตอรอลในเลือด ชนิด LDL ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ โรคกระดูกพรุน ปัญหาเลนส์ตาเสื่อม ลดการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี โรคความดัน และโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด

การรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นประจำ ยังช่วยบำรุงผิวพรรณ เนื่องจากปริมาณไขมันที่สูงในตัวของมัน ส่งผลให้ผิวหนังมีความชุ่มชื่น ช่วยบำรุงเส้นผม

กากใยที่มีในเมล็ด ยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น กระตุ้นระบบขับถ่ายสำหรับผู้ที่มีปัญหาท้องผูก และแมกนีเซียมที่พบในเมล็ด ยังช่วยบำรุงเหงือกและฟันให้แข็งแรง



การรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ซึ่งจัดอยู่ในประเภทของถั่วที่มีปริมาณไขมันมาก แต่ส่วนใหญ่แล้ว ปริมาณไขมันที่พบ เป็นประเภทไขมันชนิดไม่อิ่มตัวถึง 75%

การรับประทานไขมันที่ได้จากถั่ว จะเข้าไปทำหน้าที่ ที่ตรงกันข้ามกับไขมันชนิดอิ่มตัว และเมล็ดยังช่วยให้เราอิ่มท้องได้นานขึ้น ลดความอยากอาหาร เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน

เครดิต คัดลอกข้อความดีๆมาจาก 
http://www.plerne.com/

มะม่วง อ้วน ไหม ·



มะม่วง อ้วน ไหม ·
มะม่วง อ้วน ไหม ·

ผล ไม้ ลด พุง มะม่วง อ้วน ไหม

ผล ไม้ ลด พุง จริงหรือไม่? 
การทานผลไม้เพื่อควบคุมน้ำหนัก ผลไม้จัดอยู่ในหมู่ของคาร์โบไฮเดรตเช่นเดียวกับข้าว, แป้ง ดังนั้นการทานมากเกินไป จึงเป็นการสะสมน้ำตาลในร่างกายทำให้อ้วนได้ การทานผลไม้ ควรเลือกทานผลไม้ทั้งที่ไม่หวานจัด เช่น ชมพู ฝรั่ง แตงโม และเลือกทานผลไม้ทั้งผล เพราะการคั้นน้ำผลไม้เป็นการทิ้งใยอาหารอย่างน่าเสียดาย เสริมผลไม้แทนขนมหวาน